การดูแลความสมดุลของน้ำตาลในเลือดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

การดูแลความสมดุลของน้ำตาลในเลือดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

by babyandmomthai.com

การดูแลความสมดุลของน้ำตาลในเลือดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์


บทนำ

การตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายของคุณแม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของระบบเผาผลาญและระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากฮอร์โมนบางชนิดที่หลั่งออกมาในช่วงตั้งครรภ์ส่งผลต่อการทำงานของอินซูลิน ทำให้คุณแม่บางรายอาจเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือ โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และทารก เช่น ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ คลอดก่อนกำหนด หรือความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

การดูแลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่น บทความนี้จะนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องและปลอดภัยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์


เนื้อหา

1. ทำความเข้าใจกับระดับน้ำตาลในเลือดในช่วงตั้งครรภ์

  • ระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสเพื่อตอบสนองความต้องการของทารก
  • ฮอร์โมนจากรก เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน และโกรทฮอร์โมน ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
  • คุณแม่บางคนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ส่งผลให้เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

2. ปัจจัยเสี่ยงของน้ำตาลในเลือดสูงระหว่างตั้งครรภ์

คุณแม่ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ได้แก่:

  1. อายุ 30 ปีขึ้นไป
  2. น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์
  3. มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
  4. เคยมีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในครรภ์ก่อนหน้า
  5. ทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่ผิดปกติ

3. ผลกระทบของน้ำตาลในเลือดสูงระหว่างตั้งครรภ์

  1. ผลกระทบต่อคุณแม่:
    • ความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ
    • คลอดยากและต้องผ่าคลอด
    • เสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลังคลอด
  2. ผลกระทบต่อทารกในครรภ์:
    • ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ (Macrosomia) เสี่ยงต่อการคลอดยาก
    • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด
    • เสี่ยงภาวะหายใจลำบากและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

4. วิธีการดูแลและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

  1. การควบคุมอาหารและโภชนาการ
    การควบคุมอาหารมีบทบาทสำคัญในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
    • กินอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI):
      • ผักใบเขียว ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต มันเทศ และธัญพืชเต็มเมล็ด
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง:
      • ขนมหวาน น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง และของทอด
    • แบ่งมื้ออาหารให้เล็กลง:
      • รับประทานมื้อเล็กๆ แต่บ่อยขึ้น เช่น 5-6 มื้อต่อวัน
    • โปรตีนที่เพียงพอ:
      • เนื้อปลา ไก่ เต้าหู้ ไข่ และถั่วต่างๆ
    • ใยอาหาร:
      • ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น แอปเปิล ฝรั่ง และเบอร์รี
  2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานจากน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
    • แนะนำกิจกรรมเบาๆ เช่น การเดินวันละ 30 นาที โยคะสำหรับคนท้อง หรือการว่ายน้ำ
  3. การติดตามระดับน้ำตาลในเลือด
    • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำโดยใช้เครื่องตรวจน้ำตาล
    • ระดับน้ำตาลที่เหมาะสม:
      • ก่อนอาหารควรอยู่ที่ 70-95 มก./ดล.
      • หลังอาหาร 1 ชั่วโมงควรต่ำกว่า 140 มก./ดล.
  4. การดื่มน้ำให้เพียงพอ
    • ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว ช่วยให้ไตขับน้ำตาลออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
  5. การพักผ่อนและจัดการความเครียด
    • ความเครียดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ควรผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิ การหายใจลึกๆ และการพักผ่อนให้เพียงพอ

5. อาหารตัวอย่างสำหรับคุณแม่ที่ควบคุมระดับน้ำตาล

อาหารเช้า:

  • โจ๊กข้าวโอ๊ตใส่ผักและเนื้อไก่
  • ขนมปังโฮลวีททาอะโวคาโด

อาหารว่าง:

  • ถั่วอบแห้ง 1 กำมือ
  • แอปเปิล 1 ลูก

อาหารกลางวัน:

  • ข้าวกล้อง + อกไก่ย่าง + ผักนึ่ง

อาหารว่างบ่าย:

  • โยเกิร์ตไขมันต่ำไม่หวาน + เบอร์รี

อาหารเย็น:

  • ปลาอบ + มันเทศต้ม + สลัดผักน้ำใส

6. เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์

หากคุณแม่พบอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที:

  • น้ำหนักขึ้นมากเกินไป
  • กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • เวียนศีรษะหรือหน้ามืด
  • ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินเกณฑ์

สรุป

การดูแลความสมดุลของน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ การควบคุมอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และติดตามระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงและลูกน้อยในครรภ์เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์

 

You may also like

Share via