อาหารเสริมที่ควรและไม่ควรทานในช่วงตั้งครรภ์

อาหารเสริมที่ควรและไม่ควรทานในช่วงตั้งครรภ์

by babyandmomthai.com

อาหารเสริมที่ควรและไม่ควรทานในช่วงตั้งครรภ์


บทนำ
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องการสารอาหารหลากหลายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาของลูกน้อยในครรภ์ อาหารที่บริโภคในชีวิตประจำวันอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้การรับประทานอาหารเสริมเป็นทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มสารอาหารสำคัญ อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจไม่ปลอดภัยหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกได้ บทความนี้จะช่วยแนะนำอาหารเสริมที่ควรรับประทาน และชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง พร้อมทั้งคำแนะนำในการเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์


เนื้อหา

1. อาหารเสริมที่ควรรับประทานในช่วงตั้งครรภ์

1.1 กรดโฟลิก (Folic Acid)

  • ประโยชน์: ลดความเสี่ยงของความผิดปกติของท่อประสาทในทารก (Neural Tube Defects)
  • ปริมาณที่แนะนำ: อย่างน้อย 400-800 ไมโครกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: ผักใบเขียว ธัญพืชเสริมกรดโฟลิก

1.2 ธาตุเหล็ก (Iron)

  • ประโยชน์: ช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางในคุณแม่และเสริมสร้างการไหลเวียนออกซิเจนไปยังทารก
  • ปริมาณที่แนะนำ: 27 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ ผักโขม ถั่วแดง

1.3 แคลเซียม (Calcium)

  • ประโยชน์: ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของทารก และลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกระดูกในคุณแม่
  • ปริมาณที่แนะนำ: 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: นม โยเกิร์ต เต้าหู้

1.4 วิตามินดี (Vitamin D)

  • ประโยชน์: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างกระดูกของทารก
  • ปริมาณที่แนะนำ: 600 IU ต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: แสงแดด ปลาซาร์ดีน ไข่แดง

1.5 โอเมก้า-3 (DHA และ EPA)

  • ประโยชน์: ช่วยพัฒนาสมองและสายตาของทารก
  • ปริมาณที่แนะนำ: 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: ปลาแซลมอน น้ำมันปลา

1.6 ไอโอดีน (Iodine)

  • ประโยชน์: ส่งเสริมการพัฒนาสมองและระบบประสาทของทารก
  • ปริมาณที่แนะนำ: 220 ไมโครกรัมต่อวัน
  • แหล่งอาหาร: เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล

1.7 วิตามินซี (Vitamin C)

  • ประโยชน์: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • แหล่งอาหาร: ส้ม มะละกอ กีวี

2. อาหารเสริมที่ควรหลีกเลี่ยง

2.1 วิตามินเอในปริมาณสูง

  • การได้รับวิตามินเอเกินความต้องการอาจส่งผลต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์
  • ปริมาณที่แนะนำ: ไม่เกิน 10,000 IU ต่อวัน

2.2 สมุนไพรบางชนิด

  • สมุนไพร เช่น กิงโกะ บิโลบา ดอกคำฝอย หรือเจียวกู่หลาน อาจกระตุ้นการบีบรัดตัวของมดลูกหรือมีผลต่อการไหลเวียนเลือด

2.3 อาหารเสริมที่มีคาเฟอีน

  • อาหารเสริมบางชนิด เช่น ชาเขียวสกัดหรือกาแฟสกัด อาจเพิ่มระดับคาเฟอีนในร่างกาย ซึ่งควรจำกัดให้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน

2.4 อาหารเสริมลดน้ำหนักหรือดีท็อกซ์

  • อาหารเสริมเหล่านี้อาจมีสารที่เป็นอันตรายและไม่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

2.5 อาหารเสริมที่ไม่ได้รับการรับรองความปลอดภัย

  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากหรือแหล่งที่มาไม่ชัดเจน

3. วิธีเลือกอาหารเสริมที่เหมาะสม

3.1 ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

  • ก่อนเริ่มอาหารเสริมใดๆ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าสารอาหารนั้นปลอดภัยและเหมาะสม

3.2 เลือกอาหารเสริมที่มีฉลากชัดเจน

  • ผลิตภัณฑ์ควรมีฉลากที่แสดงส่วนประกอบ ปริมาณที่แนะนำ และการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้

3.3 หลีกเลี่ยงอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตราย

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสารกันบูดหรือสีสังเคราะห์

3.4 เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับระยะการตั้งครรภ์

  • บางผลิตภัณฑ์ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนสุขภาพในแต่ละไตรมาส

4. ความสำคัญของการรับประทานอาหารเสริมควบคู่กับอาหารหลัก

  • อาหารเสริมควรเป็นการเติมเต็มสารอาหารที่ขาดหาย ไม่ใช่การทดแทนอาหารหลัก
  • ควรเน้นรับประทานอาหารที่สดใหม่ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

5. เคล็ดลับการบริโภคอาหารเสริมระหว่างตั้งครรภ์

5.1 รับประทานตามคำแนะนำของแพทย์

  • หลีกเลี่ยงการเพิ่มปริมาณอาหารเสริมเอง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

5.2 รับประทานพร้อมอาหาร

  • การรับประทานอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินดีหรือโอเมก้า-3 พร้อมอาหารไขมันต่ำ ช่วยเพิ่มการดูดซึม

5.3 สังเกตผลข้างเคียง

  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ หรืออาการแพ้ ควรหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์

สรุป
อาหารเสริมมีบทบาทสำคัญในการช่วยเติมเต็มสารอาหารที่จำเป็นระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของทารกและสุขภาพของคุณแม่ อย่างไรก็ตาม การเลือกอาหารเสริมต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยปรึกษาแพทย์ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และบริโภคตามคำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสำหรับทั้งคุณแม่และลูกน้อย

 

You may also like

Share via