“แค่ช้าหรือคือปัญหา”: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงของครอบครัว

"แค่ช้าหรือคือปัญหา": การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงของครอบครัว

by babyandmomthai.com

“แค่ช้าหรือคือปัญหา”: การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงของครอบครัว


บทนำ

หลายครั้งที่พ่อแม่อาจมองข้ามพฤติกรรมบางอย่างของลูก เพราะคิดว่าเป็นเพียง “พัฒนาการที่ช้า” ซึ่งเด็กจะสามารถตามทันในภายหลัง แต่สำหรับบางครอบครัว ความเชื่อเช่นนี้อาจทำให้พวกเขาพลาดโอกาสที่จะช่วยลูกได้ทันเวลา บทความนี้จะเล่าถึงประสบการณ์ของ “แหม่ม” คุณแม่ที่เผชิญกับคำถามที่ยากจะตอบว่า “ลูกแค่ช้าหรือมีปัญหาจริง?” พร้อมแนวทางที่เธอใช้เรียนรู้และช่วยลูกผ่านสถานการณ์นี้


เนื้อหา

1. การเริ่มต้นด้วยความเชื่อมั่นว่า “เดี๋ยวก็ทัน”
แหม่มเป็นแม่ของ “น้องเบล” เด็กหญิงวัย 3 ขวบครึ่งที่ดูสดใสร่าเริง แต่เธอสังเกตว่าลูกยังพูดได้น้อยมาก และมักใช้ท่าทางแทนการสื่อสาร เช่น ชี้นิ้วหรือดึงมือแม่เพื่อบอกความต้องการ ครอบครัวของเธอให้ความเห็นว่า “เด็กบางคนพูดช้ากว่าเกณฑ์ แต่อีกไม่นานก็พูดทันเอง”

แม้แหม่มจะพยายามปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดนี้ แต่ความสงสัยยังคงค้างคาใจ

2. การสังเกตพฤติกรรมที่ไม่ปกติ
วันหนึ่ง ขณะอยู่ในงานวันเกิดของลูกเพื่อน แหม่มสังเกตเห็นว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันสามารถพูดโต้ตอบและเล่นกันได้อย่างสนุกสนาน แต่น้องเบลกลับเลือกเล่นคนเดียวและไม่สนใจการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น เธอยังหลีกเลี่ยงการสบตากับผู้ใหญ่ที่พูดคุยด้วย

3. คำถามที่นำไปสู่การตัดสินใจสำคัญ
แหม่มเริ่มถามตัวเองว่า “นี่คือความขี้อายธรรมดาหรือปัญหาที่ต้องใส่ใจ?” เธอตัดสินใจพูดคุยกับคุณครูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คุณครูแนะนำว่าเธอควรพาน้องเบลไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กเพื่อรับการประเมิน

4. การประเมินและการยอมรับความจริง
หลังจากการประเมินโดยกุมารแพทย์ น้องเบลได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะพัฒนาการล่าช้าด้านการสื่อสารและการเข้าสังคม แม้แหม่มจะรู้สึกช็อกในตอนแรก แต่คำอธิบายของแพทย์ช่วยให้เธอเข้าใจว่า การเริ่มต้นแก้ไขปัญหาในช่วงวัยนี้ยังมีโอกาสที่จะช่วยให้ลูกพัฒนาได้ดี

5. การเปลี่ยนแปลงวิธีเลี้ยงดู
แหม่มเริ่มเรียนรู้วิธีช่วยลูกผ่านคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น:

  • การใช้คำพูดง่ายๆ และชัดเจน เพื่อกระตุ้นการตอบสนองของลูก
  • การเล่นเกมที่ส่งเสริมการสื่อสาร เช่น การถามคำถามง่ายๆ หรือการจับคู่คำกับภาพ
  • การสร้างสถานการณ์ที่เปิดโอกาสให้ลูกพูด เช่น การเลือกของในร้านค้า

6. ความร่วมมือของครอบครัว
สามีและปู่ย่าของน้องเบลมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน เช่น:

  • การเล่นกับลูกอย่างตั้งใจ เช่น การอ่านนิทานหรือร้องเพลง
  • การให้กำลังใจและชื่นชมเมื่อเบลแสดงความพยายามในการพูด

7. ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน
หลังจากการทำงานร่วมกันเป็นเวลา 8 เดือน น้องเบลเริ่มพูดคำใหม่ๆ เช่น “แม่ขอขนม” หรือ “ไปเที่ยว” เธอยังมีความกล้าในการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มในศูนย์เด็กเล็ก และเริ่มเล่นกับเพื่อนๆ มากขึ้น

8. บทเรียนที่แหม่มอยากแบ่งปัน
แหม่มเล่าว่า “สิ่งสำคัญคือการเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง อย่าปล่อยให้คำพูดว่า ‘เดี๋ยวก็ทัน’ ทำให้คุณมองข้ามสิ่งที่ลูกต้องการจริงๆ” เธอย้ำว่าการลงมือทำตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ลูกพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ


สรุป

การแยกแยะระหว่างพัฒนาการที่ “ช้าแต่ปกติ” กับ “มีปัญหา” อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับพ่อแม่ แต่การใส่ใจสังเกตพฤติกรรมของลูกและการรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้พ่อแม่ตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม เรื่องราวของแหม่มและน้องเบลแสดงให้เห็นว่า การเริ่มต้นแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถเปลี่ยนอนาคตของลูกให้ดีขึ้นได้

 

You may also like

Share via