“แววตาของลูกบอกอะไร”: เรื่องราวของแม่ที่สังเกตปัญหาจากสิ่งเล็กๆ

"แววตาของลูกบอกอะไร": เรื่องราวของแม่ที่สังเกตปัญหาจากสิ่งเล็กๆ

by babyandmomthai.com

“แววตาของลูกบอกอะไร”: เรื่องราวของแม่ที่สังเกตปัญหาจากสิ่งเล็กๆ


บทนำ

แววตาและการสบตาของเด็กเล็กมักเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงพลัง แม้เด็กจะยังพูดไม่ได้หรือไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ แต่แววตาก็สามารถบอกอะไรได้มากมาย ในบทความนี้ เราจะเล่าถึงเรื่องราวของ “พลอย” คุณแม่ที่เริ่มสังเกตปัญหาพัฒนาการของลูกจากสิ่งเล็กๆ อย่างแววตา และเปลี่ยนมันให้เป็นจุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือที่สำคัญ


เนื้อหา

1. ความสำคัญของการสบตาในพัฒนาการเด็ก
การสบตาเป็นหนึ่งในพัฒนาการทางสังคมและการสื่อสารที่สำคัญ เด็กเล็กมักเริ่มสบตาและตอบสนองต่อการมองของผู้ใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติในช่วง 6-8 สัปดาห์แรกหลังเกิด การสบตาไม่เพียงเป็นการแสดงถึงการเชื่อมโยงกับคนรอบข้าง แต่ยังสะท้อนถึงความพร้อมในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางสังคม

2. สัญญาณที่พลอยสังเกตเห็น
พลอยมีลูกชายวัย 2 ขวบชื่อ “น้องไทม์” แม้ว่าลูกของเธอดูแข็งแรงและอารมณ์ดี แต่เธอเริ่มสังเกตเห็นว่าเมื่อลูกเล่นหรืออยู่ในสถานการณ์ที่มีคนเรียกชื่อ น้องไทม์มักหลีกเลี่ยงการสบตา แม้กระทั่งตอนที่พลอยพูดคุยหรือล้อเล่นด้วยเสียงดัง น้องไทม์ก็จะมองไปทางอื่นหรือสนใจสิ่งอื่นแทน

พลอยเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่เป็นนิสัยขี้อายธรรมดา หรือเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจ?”

3. การค้นหาคำตอบจากข้อมูลและประสบการณ์
หลังจากหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับพฤติกรรมเด็ก พลอยพบว่าการหลีกเลี่ยงการสบตาอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาพัฒนาการบางอย่าง เช่น ภาวะออทิสติกหรือพัฒนาการล่าช้าด้านการสื่อสาร

เธอตัดสินใจเริ่มสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ของลูกเพิ่มเติม เช่น:

  • น้องไทม์มักเล่นของเล่นเดิมซ้ำๆ
  • ไม่ตอบสนองต่อคำสั่งง่ายๆ เช่น “มา” หรือ “หยิบของให้แม่”
  • ไม่สามารถแสดงความต้องการของตัวเองผ่านคำพูด

4. การขอคำปรึกษา
พลอยพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก หลังการประเมิน น้องไทม์ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะพัฒนาการล่าช้าด้านการสื่อสารและการเข้าสังคม

5. การเปลี่ยนแปลงจากการสังเกตสิ่งเล็กๆ
หลังจากการวินิจฉัย พลอยเริ่มทำงานร่วมกับนักบำบัดเพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูก เธอเรียนรู้วิธีใช้กิจกรรมง่ายๆ เพื่อส่งเสริมการสบตาและการตอบสนอง เช่น:

  • การเล่นเกม “จ๊ะเอ๋” เพื่อกระตุ้นการมอง
  • การนั่งเผชิญหน้ากันระหว่างอ่านนิทาน และใช้นิ้วชี้รูปภาพพร้อมเรียกชื่อ
  • การชมเชยและให้รางวัลเมื่อไทม์สบตากับเธอหรือคนรอบข้าง

6. ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
หลังจาก 6 เดือนของการทำงานร่วมกัน ไทม์เริ่มสบตามากขึ้น และสามารถตอบสนองต่อคำพูดง่ายๆ ได้ เช่น เมื่อแม่เรียกชื่อ เขาหันมามองและยิ้ม พลอยรู้สึกว่าแววตาของลูกในตอนนี้เต็มไปด้วยความสดใสและเชื่อมโยงกับคนรอบข้างมากขึ้น

7. บทเรียนสำคัญที่พลอยอยากส่งต่อ
พลอยกล่าวว่า “อย่ามองข้ามสิ่งเล็กๆ อย่างแววตาของลูก เพราะมันอาจบอกอะไรได้มากกว่าที่เราคิด” เธอเน้นว่าการสังเกตพฤติกรรมเล็กๆ อย่างใกล้ชิดสามารถช่วยให้พ่อแม่แก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่ต้น


สรุป

เรื่องราวของพลอยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสังเกตสิ่งเล็กๆ เช่น การสบตาในเด็กเล็ก การใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้อาจช่วยให้พ่อแม่เข้าใจลูกและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว การเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ อย่างแววตาของลูกสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาให้ดีขึ้นได้

 

You may also like

Share via