เมื่อเด็กไม่เรียกพ่อแม่: ความสำคัญของคำแรกและการสังเกต

เมื่อเด็กไม่เรียกพ่อแม่: ความสำคัญของคำแรกและการสังเกต

by https://babyandmomthai.com/

เมื่อเด็กไม่เรียกพ่อแม่: ความสำคัญของคำแรกและการสังเกต


บทนำ

การได้ยินลูกเรียก “แม่” หรือ “พ่อ” เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ เพราะคำแรกเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงพัฒนาการทางภาษา แต่ยังสะท้อนถึงการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างลูกกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจพูดคำแรกช้ากว่าที่คาด หรือไม่เรียกพ่อแม่เลย ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่กังวลว่ามีปัญหาทางพัฒนาการหรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจถึงความสำคัญของคำแรกในพัฒนาการทางภาษา พร้อมวิธีสังเกตและแนวทางช่วยเหลือเด็กที่ไม่เรียกพ่อแม่


เนื้อหา

1. ความสำคัญของคำแรกในพัฒนาการทางภาษา

1.1 จุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่มีความหมาย

  • คำแรก เช่น “พ่อ” หรือ “แม่” เป็นสัญญาณที่แสดงว่าเด็กเริ่มเข้าใจความหมายของคำและความสัมพันธ์กับคนรอบตัว

1.2 การสะท้อนพัฒนาการทางสมอง

  • การที่เด็กพูดคำแรกได้บ่งบอกถึงความสามารถของสมองในการเชื่อมโยงเสียง ความหมาย และการแสดงออก

1.3 การสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

  • การที่เด็กเรียกพ่อแม่ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารเชิงบวก

2. เกณฑ์ปกติของพัฒนาการการเรียกพ่อแม่

  • ช่วงอายุ 6-9 เดือน: เด็กเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ และอาจพูดคำที่ไม่มีความหมาย เช่น “บา บา” หรือ “ดา ดา”
  • ช่วงอายุ 10-12 เดือน: เด็กเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมาย เช่น “แม่” หรือ “พ่อ” โดยเชื่อมโยงกับบุคคลหรือสิ่งของ
  • ช่วงอายุ 12-18 เดือน: เด็กควรเรียกพ่อแม่อย่างมีความหมายและเพิ่มคำศัพท์ใหม่ๆ

หากลูกไม่พูดคำแรกเมื่ออายุเกิน 18 เดือน หรือไม่เรียกพ่อแม่เลย ควรเริ่มสังเกตพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย


3. สาเหตุที่เด็กไม่เรียกพ่อแม่

3.1 พัฒนาการทางภาษาช้าชั่วคราว

  • เด็กบางคนอาจเน้นพัฒนาทักษะอื่น เช่น การเดิน หรือการเล่น ทำให้การพูดเริ่มช้ากว่าปกติ

3.2 ปัญหาการได้ยิน

  • เด็กที่มีปัญหาการได้ยิน เช่น หูอักเสบเรื้อรัง หรือการสูญเสียการได้ยิน อาจไม่สามารถเรียนรู้เสียงหรือคำได้

3.3 สภาพแวดล้อมที่ขาดการกระตุ้นภาษา

  • เด็กที่ไม่ได้รับการพูดคุยหรือเล่นที่เกี่ยวข้องกับภาษาอาจมีพัฒนาการที่ล่าช้า

3.4 ภาวะออทิสติก (Autism Spectrum Disorder – ASD)

  • เด็กที่มีภาวะออทิสติกอาจไม่เรียกพ่อแม่ เพราะขาดการเชื่อมโยงทางสังคมหรือการตอบสนองต่อชื่อ

3.5 ปัญหาทางสมองหรือระบบประสาท

  • เช่น ความผิดปกติในสมองหรือการประมวลผลข้อมูลที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ภาษา

4. สัญญาณที่ควรใส่ใจ

  • เด็กไม่ตอบสนองเมื่อเรียกชื่อ
  • เด็กไม่สบตาหรือไม่แสดงออกทางอารมณ์เมื่อพบพ่อแม่
  • เด็กไม่พยายามเลียนเสียงหรือพูดคำง่ายๆ
  • เด็กมีพฤติกรรมที่ซ้ำซาก เช่น การเล่นของเล่นแบบเดิมซ้ำๆ
  • เด็กหลีกเลี่ยงการเล่นหรือการโต้ตอบกับคนรอบข้าง

5. วิธีช่วยเหลือเด็กที่ไม่เรียกพ่อแม่

5.1 การพูดคุยกับลูกบ่อยๆ

  • เรียกชื่อของลูกบ่อยๆ พร้อมแสดงสีหน้าและท่าทาง เช่น “แม่อยู่นี่นะลูก” หรือ “พ่อมาแล้ว”
  • ใช้คำศัพท์ง่ายๆ และชัดเจน เช่น “นี่คือแม่”

5.2 ใช้กิจกรรมที่กระตุ้นภาษา

  • เล่นเกมที่เกี่ยวกับการเรียกชื่อ เช่น “ใครเอ่ย?”
  • อ่านนิทานที่มีคำซ้ำๆ เช่น “แม่ไปไหน?” หรือ “พ่ออยู่ไหน?”

5.3 การใช้เสียงและท่าทางดึงดูดความสนใจ

  • ใช้เสียงสูงต่ำหรือท่าทางประกอบคำพูด เช่น ชี้ไปที่ตัวเองแล้วพูดว่า “นี่แม่”

5.4 กระตุ้นการเลียนแบบเสียง

  • ชวนลูกเลียนเสียง เช่น เสียงสัตว์ “โฮ่งๆ” หรือ “เมี้ยวๆ” เพื่อเริ่มต้นการฝึกพูด

5.5 ชื่นชมและให้กำลังใจ

  • ชื่นชมลูกเมื่อพยายามพูดหรือเรียกชื่อ เช่น “เก่งมากลูก พูดว่าแม่ได้แล้ว!”

6. เมื่อไหร่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ควรพาลูกพบผู้เชี่ยวชาญหากพบว่า:

  • ลูกไม่พูดคำแรกเมื่ออายุเกิน 18 เดือน
  • ลูกไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือชื่อเรียก
  • ลูกมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ไม่สบตา หรือหลีกเลี่ยงการโต้ตอบ
  • ลูกไม่มีการพัฒนาภาษาใหม่ๆ หลังจากอายุ 2 ปี

7. การสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ

7.1 นักบำบัดด้านภาษา (Speech Therapist):

  • ช่วยวางแผนการฝึกพูดและกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา

7.2 นักโสตสัมผัสวิทยา (Audiologist):

  • ตรวจการได้ยินเพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

7.3 กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ:

  • ประเมินปัญหาทางพัฒนาการที่อาจเกี่ยวข้องกับสมองหรือระบบประสาท

สรุป

การที่เด็กไม่เรียกพ่อแม่อาจเกิดจากพัฒนาการที่ล่าช้าชั่วคราวหรือเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซับซ้อน การสังเกตพฤติกรรมของลูกอย่างใกล้ชิดและการพูดคุยอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ หากพบสัญญาณที่น่ากังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ลูกได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม และสามารถพัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

 

You may also like

Share via