พัฒนาการทางภาษาในเด็ก 2 ภาษา: เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?
บทนำ
เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ใช้สองภาษา (Bilingual) มักมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะการสื่อสารในสองภาษา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในระยะยาว อย่างไรก็ตาม พ่อแม่หลายคนอาจสังเกตว่า ลูกพูดช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันที่เติบโตในสภาพแวดล้อมภาษาเดียว (Monolingual) และเกิดความกังวลว่าลูกมีปัญหาทางพัฒนาการหรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพัฒนาการทางภาษาของเด็กสองภาษา และแยกแยะระหว่าง “ความล่าช้าปกติ” กับ “ปัญหาพัฒนาการทางภาษา”
เนื้อหา
1. พัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษา
1.1 เด็กสองภาษาเรียนรู้อย่างไร?
- เด็กที่เติบโตในครอบครัวสองภาษาอาจเรียนรู้ภาษาทั้งสองพร้อมกัน หรือเรียนภาษาแรกก่อนแล้วจึงเริ่มเรียนภาษาใหม่ (Sequential Bilingualism)
- เด็กสองภาษามักใช้เวลาในการพัฒนาภาษาทั้งสองมากกว่าเด็กที่เติบโตในภาษาเดียว เนื่องจากต้องแบ่งสมาธิและการประมวลผลระหว่างสองภาษา
1.2 ความล่าช้าปกติในเด็กสองภาษา
- เด็กสองภาษามักมีพัฒนาการทางภาษาในช่วงแรกที่ช้ากว่าเด็กภาษาเดียว เพราะต้องใช้เวลาสลับไปมาระหว่างสองภาษา
- อาจใช้คำศัพท์ในภาษาเดียวแต่พูดประโยคด้วยอีกภาษา (Code-Switching) ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติ
2. เกณฑ์พัฒนาการทางภาษาที่ควรสังเกต
ช่วงอายุ 0-12 เดือน: การส่งเสียงและการโต้ตอบ
- เด็กสองภาษาและภาษาเดียวควรส่งเสียงอ้อแอ้และเลียนเสียงจากผู้ใหญ่
- หากเด็กไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือไม่เลียนเสียงเลย อาจเป็นสัญญาณปัญหาการได้ยินหรือพัฒนาการ
ช่วงอายุ 12-18 เดือน: การพูดคำแรก
- เด็กควรพูดคำแรกในหนึ่งหรือทั้งสองภาษา เช่น “แม่” หรือ “พ่อ”
- หากเด็กยังไม่พูดคำแรกเมื่ออายุเกิน 18 เดือน ควรเริ่มประเมินพัฒนาการเพิ่มเติม
ช่วงอายุ 18-24 เดือน: การเพิ่มคำศัพท์
- เด็กสองภาษาควรรู้จักคำศัพท์ในทั้งสองภาษารวมกันประมาณ 50 คำ
- หากคำศัพท์รวมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อาจต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางภาษา
ช่วงอายุ 2-3 ปี: การสร้างประโยค
- เด็กสองภาษาควรเริ่มพูดประโยคง่ายๆ ในภาษาใดภาษาหนึ่ง เช่น “หนูอยากกินนม” หรือ “I want to play”
- หากยังพูดเป็นคำเดี่ยวๆ หรือไม่มีประโยคที่สมบูรณ์ ควรพิจารณาเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ
3. เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?
3.1 ความล่าช้าที่ถือว่าปกติในเด็กสองภาษา
- พูดคำแรกช้ากว่าเด็กภาษาเดียวเล็กน้อย (15-18 เดือน)
- ใช้คำศัพท์จากภาษาหนึ่งในประโยคที่ใช้ภาษาอื่น (Code-Switching)
- พัฒนาคลังคำศัพท์ในแต่ละภาษาน้อยกว่าที่เด็กภาษาเดียวจะมีในภาษาเดียว
3.2 สัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาพัฒนาการ
- เด็กไม่พูดคำใดเลยในทั้งสองภาษาเมื่ออายุ 18 เดือน
- เด็กไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ ในภาษาใดภาษาหนึ่งเมื่ออายุ 2 ปี
- เด็กไม่มีการพัฒนาในการเชื่อมคำหรือสร้างประโยคหลังอายุ 3 ปี
- เด็กหลีกเลี่ยงการสื่อสาร ไม่สบตา หรือไม่ตอบสนองต่อการพูด
4. วิธีสนับสนุนพัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษา
4.1 สร้างความสมดุลในการใช้ภาษา
- ให้เด็กได้ยินและใช้ทั้งสองภาษาในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ
- แบ่งบทบาทการใช้ภาษาในครอบครัว เช่น พ่อพูดภาษาไทย แม่พูดภาษาอังกฤษ
4.2 ส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์
- ใช้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำวัน เช่น “หยิบถ้วย” ในภาษาไทย และ “Pick up the cup” ในภาษาอังกฤษ
- อ่านนิทานในทั้งสองภาษาเพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์
4.3 กระตุ้นการพูดในบริบทที่สนุกสนาน
- เล่นเกมคำศัพท์ เช่น การบอกชื่อสิ่งของในภาพ
- ร้องเพลงหรือเล่นกิจกรรมที่เด็กต้องโต้ตอบ
4.4 หลีกเลี่ยงการกดดันให้พูด
- อย่ากดดันให้เด็กพูดทั้งสองภาษาในทันที ปล่อยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตามธรรมชาติ
4.5 ใช้เวลาคุณภาพกับภาษาใหม่
- หากเด็กเริ่มเรียนภาษาที่สองหลังจากภาษาแรก ควรใช้เวลากับภาษาใหม่ในสถานการณ์จริง เช่น การพูดคุยกับผู้พูดเจ้าของภาษา
5. เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- ลูกไม่พูดคำใดเลยในทั้งสองภาษาหลังอายุ 18 เดือน
- ลูกไม่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นในทั้งสองภาษาเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์พัฒนาการ
- ลูกไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ ในทั้งสองภาษา
- ลูกแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการพูดหรือโต้ตอบทางสังคม
6. การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ
6.1 นักบำบัดด้านภาษา (Speech Therapist):
- ประเมินพัฒนาการทางภาษาในทั้งสองภาษา และออกแบบกิจกรรมเพื่อกระตุ้นภาษา
6.2 นักโสตสัมผัสวิทยา (Audiologist):
- ตรวจสอบการได้ยิน หากสงสัยว่าปัญหาการได้ยินอาจเป็นสาเหตุ
6.3 ครูหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ภาษา:
- สนับสนุนการเรียนรู้ภาษาที่สองผ่านกิจกรรมที่เหมาะสม
สรุป
พัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษาอาจล่าช้ากว่าเด็กภาษาเดียวในช่วงแรก แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเสมอไป การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน และการกระตุ้นการพูดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะได้เต็มศักยภาพ หากพ่อแม่พบสัญญาณที่น่ากังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการประเมินและคำแนะนำเพิ่มเติม