ความไวต่อเสียงและสัมผัส: อาจเป็นมากกว่าความช่างสังเกต
บทนำ
เด็กเล็กมักตอบสนองต่อเสียงและการสัมผัสในลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาประสาทสัมผัส แต่ในบางกรณี ความไวต่อเสียงหรือการสัมผัสที่มากเกินไป เช่น ตกใจเสียงดัง ขยะแขยงกับสัมผัสบางประเภท หรือร้องไห้เมื่อถูกสัมผัสเบาๆ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาด้านพัฒนาการหรือระบบประสาท เช่น ความผิดปกติด้านการประมวลผลประสาทสัมผัส (Sensory Processing Disorder – SPD) หรืออาการออทิสติก
บทความนี้จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างความไวตามธรรมชาติของเด็กกับความผิดปกติ พร้อมวิธีสังเกตและแนวทางช่วยเหลือ
ความไวต่อเสียงและสัมผัส: พฤติกรรมที่พบได้ในเด็ก
ความไวต่อเสียงและสัมผัสในเด็กอาจแสดงออกมาในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น:
ความไวต่อเสียง
- ตกใจง่ายกับเสียงดัง เช่น เสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงหมาเห่า หรือเสียงระฆัง
- ใช้มือปิดหูบ่อยครั้งเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
- แสดงความไม่สบายใจหรือร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงบางประเภท
ความไวต่อสัมผัส
- ไม่ชอบสัมผัสบางอย่าง เช่น การสวมเสื้อผ้าที่มีป้ายหรือผ้าที่มีพื้นผิวหยาบ
- ร้องไห้เมื่อถูกจับมือหรือสัมผัสตัวเบาๆ
- ปฏิเสธที่จะเดินเท้าเปล่าบนพื้นผิวที่แตกต่าง เช่น พื้นทรายหรือหญ้า
ในเด็กบางคน ความไวเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากนัก แต่หากพฤติกรรมเหล่านี้รุนแรงจนส่งผลต่อการใช้ชีวิต การเล่น หรือการเรียนรู้ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ต้องได้รับการดูแล
สาเหตุของความไวต่อเสียงและสัมผัสที่มากเกินไป
1. ความผิดปกติด้านการประมวลผลประสาทสัมผัส (SPD)
SPD เกิดจากสมองที่มีปัญหาในการประมวลผลข้อมูลจากประสาทสัมผัส เช่น การได้ยิน การมองเห็น หรือการสัมผัส เด็กที่มี SPD อาจตอบสนองต่อสิ่งเร้าแรงเกินไปหรือแทบไม่ตอบสนองเลย
2. อาการออทิสติกสเปกตรัม (ASD)
เด็กที่มีอาการออทิสติกมักมีความไวต่อเสียงและสัมผัสที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป เช่น ไม่ชอบเสียงบางอย่างหรือการสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย
3. ปัญหาด้านพัฒนาการทั่วไป
เด็กที่มีความล่าช้าในพัฒนาการด้านต่างๆ อาจแสดงความไวต่อประสาทสัมผัสเนื่องจากสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่
4. ประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์
เด็กที่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับเสียงหรือสัมผัส เช่น การถูกตีหรือการตกใจเสียงดัง อาจกลายเป็นไวต่อสิ่งเหล่านั้น
การสังเกตพฤติกรรมที่อาจผิดปกติ
ความไวที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
- เด็กไม่สามารถใช้ชีวิตในสถานการณ์ปกติ เช่น ร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์หรือปฏิเสธการสวมรองเท้า
- การแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อถูกสัมผัส
การตอบสนองที่เกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน
- ความกลัวเสียงหรือสัมผัสที่เด็กวัยเดียวกันมักไม่กลัว เช่น เสียงดนตรีเบาๆ หรือการเล่นกับทราย
พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างต่อเนื่อง
- เด็กยังคงมีปฏิกิริยารุนแรงต่อเสียงหรือสัมผัสบางประเภท แม้เวลาจะผ่านไป
แนวทางช่วยเหลือเด็กที่ไวต่อเสียงและสัมผัส
1. สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสบายใจ
- ลดสิ่งเร้าที่อาจรบกวน เช่น เสียงดังหรือแสงจ้า
- เลือกเสื้อผ้าหรือสิ่งของที่เด็กสบายใจ เช่น ผ้านุ่มหรือเสื้อผ้าที่ไม่มีป้าย
2. ฝึกปรับตัวทีละน้อย
- สำหรับเด็กที่ไวต่อเสียง: ใช้เสียงที่เด็กยอมรับได้ เช่น เสียงดนตรีเบาๆ และเพิ่มความดังทีละน้อย
- สำหรับเด็กที่ไวต่อสัมผัส: แนะนำพื้นผิวที่หลากหลายผ่านการเล่น เช่น ปั้นดินน้ำมัน หรือการเล่นกับน้ำ
3. ใช้เทคนิคการเล่นเพื่อช่วยปรับตัว
- เล่นเกมที่เกี่ยวข้องกับเสียง เช่น เกมระบุเสียง
- ใช้ของเล่นที่มีพื้นผิวต่างๆ เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับการสัมผัสที่หลากหลาย
4. สอนการจัดการอารมณ์
- ช่วยเด็กระบุความรู้สึก เช่น “ตอนนี้เสียงดังไปใช่ไหม?”
- สอนวิธีจัดการกับความกลัว เช่น การหายใจลึกๆ หรือการปิดหูเมื่อไม่สบายใจ
5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- นักบำบัดด้านการประมวลผลประสาทสัมผัสสามารถช่วยออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับเด็ก
- หากสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับอาการออทิสติก ควรพบกุมารแพทย์หรือนักพัฒนาการเด็ก
กิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการปรับตัวของเด็ก
- การเล่นทราย:
ให้เด็กสัมผัสทรายด้วยมือหรือเท้า เพื่อช่วยให้คุ้นเคยกับพื้นผิวที่ต่างจากปกติ - การเล่นดนตรี:
ใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงเบา เช่น ระนาดหรือตีขิม เพื่อให้เด็กเริ่มคุ้นเคยกับเสียง - การทำงานศิลปะ:
ให้เด็กลองใช้วัสดุที่หลากหลาย เช่น ดินน้ำมัน ผ้า หรือกระดาษทราย - การทำกิจกรรมในน้ำ:
เล่นน้ำในอ่างหรือสระน้ำเล็กๆ เพื่อช่วยกระตุ้นความคุ้นเคยกับสัมผัสที่แตกต่าง
สรุป
ความไวต่อเสียงและสัมผัสในเด็กอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพัฒนาการ แต่หากพฤติกรรมเหล่านี้รุนแรงจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน อาจสะท้อนถึงปัญหาด้านการประมวลผลประสาทสัมผัสหรืออาการออทิสติก การสังเกตและช่วยเหลือเด็กผ่านกิจกรรมที่เหมาะสม พร้อมทั้งการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เด็กปรับตัวและพัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิตได้ดีขึ้น