พัฒนาการทางภาษาในเด็ก 2 ภาษา: เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?

พัฒนาการทางภาษาในเด็ก 2 ภาษา: เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?

by https://babyandmomthai.com/

พัฒนาการทางภาษาในเด็ก 2 ภาษา: เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?


บทนำ

เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ใช้สองภาษา (Bilingual) มักมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาทักษะการสื่อสารในสองภาษา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในระยะยาว อย่างไรก็ตาม พ่อแม่หลายคนอาจสังเกตว่า ลูกพูดช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกันที่เติบโตในสภาพแวดล้อมภาษาเดียว (Monolingual) และเกิดความกังวลว่าลูกมีปัญหาทางพัฒนาการหรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพัฒนาการทางภาษาของเด็กสองภาษา และแยกแยะระหว่าง “ความล่าช้าปกติ” กับ “ปัญหาพัฒนาการทางภาษา”


เนื้อหา

1. พัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษา

1.1 เด็กสองภาษาเรียนรู้อย่างไร?

  • เด็กที่เติบโตในครอบครัวสองภาษาอาจเรียนรู้ภาษาทั้งสองพร้อมกัน หรือเรียนภาษาแรกก่อนแล้วจึงเริ่มเรียนภาษาใหม่ (Sequential Bilingualism)
  • เด็กสองภาษามักใช้เวลาในการพัฒนาภาษาทั้งสองมากกว่าเด็กที่เติบโตในภาษาเดียว เนื่องจากต้องแบ่งสมาธิและการประมวลผลระหว่างสองภาษา

1.2 ความล่าช้าปกติในเด็กสองภาษา

  • เด็กสองภาษามักมีพัฒนาการทางภาษาในช่วงแรกที่ช้ากว่าเด็กภาษาเดียว เพราะต้องใช้เวลาสลับไปมาระหว่างสองภาษา
  • อาจใช้คำศัพท์ในภาษาเดียวแต่พูดประโยคด้วยอีกภาษา (Code-Switching) ซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติ

2. เกณฑ์พัฒนาการทางภาษาที่ควรสังเกต

ช่วงอายุ 0-12 เดือน: การส่งเสียงและการโต้ตอบ

  • เด็กสองภาษาและภาษาเดียวควรส่งเสียงอ้อแอ้และเลียนเสียงจากผู้ใหญ่
  • หากเด็กไม่ตอบสนองต่อเสียงหรือไม่เลียนเสียงเลย อาจเป็นสัญญาณปัญหาการได้ยินหรือพัฒนาการ

ช่วงอายุ 12-18 เดือน: การพูดคำแรก

  • เด็กควรพูดคำแรกในหนึ่งหรือทั้งสองภาษา เช่น “แม่” หรือ “พ่อ”
  • หากเด็กยังไม่พูดคำแรกเมื่ออายุเกิน 18 เดือน ควรเริ่มประเมินพัฒนาการเพิ่มเติม

ช่วงอายุ 18-24 เดือน: การเพิ่มคำศัพท์

  • เด็กสองภาษาควรรู้จักคำศัพท์ในทั้งสองภาษารวมกันประมาณ 50 คำ
  • หากคำศัพท์รวมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อาจต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมทางภาษา

ช่วงอายุ 2-3 ปี: การสร้างประโยค

  • เด็กสองภาษาควรเริ่มพูดประโยคง่ายๆ ในภาษาใดภาษาหนึ่ง เช่น “หนูอยากกินนม” หรือ “I want to play”
  • หากยังพูดเป็นคำเดี่ยวๆ หรือไม่มีประโยคที่สมบูรณ์ ควรพิจารณาเข้าพบผู้เชี่ยวชาญ

3. เมื่อไหร่ที่เรียกว่าช้า?

3.1 ความล่าช้าที่ถือว่าปกติในเด็กสองภาษา

  • พูดคำแรกช้ากว่าเด็กภาษาเดียวเล็กน้อย (15-18 เดือน)
  • ใช้คำศัพท์จากภาษาหนึ่งในประโยคที่ใช้ภาษาอื่น (Code-Switching)
  • พัฒนาคลังคำศัพท์ในแต่ละภาษาน้อยกว่าที่เด็กภาษาเดียวจะมีในภาษาเดียว

3.2 สัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาพัฒนาการ

  • เด็กไม่พูดคำใดเลยในทั้งสองภาษาเมื่ออายุ 18 เดือน
  • เด็กไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ ในภาษาใดภาษาหนึ่งเมื่ออายุ 2 ปี
  • เด็กไม่มีการพัฒนาในการเชื่อมคำหรือสร้างประโยคหลังอายุ 3 ปี
  • เด็กหลีกเลี่ยงการสื่อสาร ไม่สบตา หรือไม่ตอบสนองต่อการพูด

4. วิธีสนับสนุนพัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษา

4.1 สร้างความสมดุลในการใช้ภาษา

  • ให้เด็กได้ยินและใช้ทั้งสองภาษาในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ
  • แบ่งบทบาทการใช้ภาษาในครอบครัว เช่น พ่อพูดภาษาไทย แม่พูดภาษาอังกฤษ

4.2 ส่งเสริมการเรียนรู้คำศัพท์

  • ใช้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำวัน เช่น “หยิบถ้วย” ในภาษาไทย และ “Pick up the cup” ในภาษาอังกฤษ
  • อ่านนิทานในทั้งสองภาษาเพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์

4.3 กระตุ้นการพูดในบริบทที่สนุกสนาน

  • เล่นเกมคำศัพท์ เช่น การบอกชื่อสิ่งของในภาพ
  • ร้องเพลงหรือเล่นกิจกรรมที่เด็กต้องโต้ตอบ

4.4 หลีกเลี่ยงการกดดันให้พูด

  • อย่ากดดันให้เด็กพูดทั้งสองภาษาในทันที ปล่อยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตามธรรมชาติ

4.5 ใช้เวลาคุณภาพกับภาษาใหม่

  • หากเด็กเริ่มเรียนภาษาที่สองหลังจากภาษาแรก ควรใช้เวลากับภาษาใหม่ในสถานการณ์จริง เช่น การพูดคุยกับผู้พูดเจ้าของภาษา

5. เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

  • ลูกไม่พูดคำใดเลยในทั้งสองภาษาหลังอายุ 18 เดือน
  • ลูกไม่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นในทั้งสองภาษาเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์พัฒนาการ
  • ลูกไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ ในทั้งสองภาษา
  • ลูกแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการพูดหรือโต้ตอบทางสังคม

6. การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ

6.1 นักบำบัดด้านภาษา (Speech Therapist):

  • ประเมินพัฒนาการทางภาษาในทั้งสองภาษา และออกแบบกิจกรรมเพื่อกระตุ้นภาษา

6.2 นักโสตสัมผัสวิทยา (Audiologist):

  • ตรวจสอบการได้ยิน หากสงสัยว่าปัญหาการได้ยินอาจเป็นสาเหตุ

6.3 ครูหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ภาษา:

  • สนับสนุนการเรียนรู้ภาษาที่สองผ่านกิจกรรมที่เหมาะสม

สรุป

พัฒนาการทางภาษาในเด็กสองภาษาอาจล่าช้ากว่าเด็กภาษาเดียวในช่วงแรก แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลเสมอไป การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนภาษา การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน และการกระตุ้นการพูดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะได้เต็มศักยภาพ หากพ่อแม่พบสัญญาณที่น่ากังวล ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการประเมินและคำแนะนำเพิ่มเติม

 

You may also like

Share via