การสร้างความเห็นอกเห็นใจ: เมื่อลูกไม่แสดงความรู้สึกต่อผู้อื่น
บทนำ
ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) เป็นหนึ่งในทักษะทางสังคมที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็ก ช่วยให้พวกเขาเข้าใจและตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มีความเห็นอกเห็นใจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี มีความเข้าใจในความรู้สึกของคนรอบข้าง และมีพฤติกรรมที่ช่วยส่งเสริมสังคมในเชิงบวก
แต่ในบางกรณี เด็กอาจไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น หรือดูเหมือนไม่ใส่ใจเมื่อเห็นคนอื่นเศร้า โกรธ หรือเดือดร้อน บทความนี้จะช่วยผู้ปกครองทำความเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมนี้ และเสนอแนวทางสร้างความเห็นอกเห็นใจให้กับลูก เพื่อให้เขาเติบโตเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี
เนื้อหา
1. ความสำคัญของความเห็นอกเห็นใจ
ความเห็นอกเห็นใจช่วยให้เด็กสามารถ:
- เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น: เด็กจะรับรู้และเข้าใจว่าคนรอบข้างรู้สึกอย่างไร
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่นช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่มั่นคง
- ส่งเสริมพฤติกรรมช่วยเหลือ: เด็กที่เห็นอกเห็นใจจะพร้อมช่วยเหลือเมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน
- ลดพฤติกรรมก้าวร้าว: ความเข้าใจในความรู้สึกของผู้อื่นช่วยลดโอกาสเกิดการกระทำที่อาจทำให้ผู้อื่นเสียใจ
2. สาเหตุที่เด็กไม่แสดงความรู้สึกต่อผู้อื่น
- พัฒนาการตามวัย:
เด็กเล็กยังอยู่ในช่วงที่มุ่งเน้นความต้องการของตนเอง (Egocentric) ซึ่งเป็นเรื่องปกติในพัฒนาการ - ขาดการเรียนรู้:
หากเด็กไม่ได้รับการสอนหรือไม่มีตัวอย่างของการแสดงความเห็นอกเห็นใจ อาจไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้อื่นอย่างไร - ประสบการณ์เชิงลบ:
เด็กที่เคยประสบกับความรุนแรงหรือการถูกละเลย อาจแสดงพฤติกรรมที่เย็นชาต่อผู้อื่น - บุคลิกภาพหรือความผิดปกติทางพัฒนาการ:
เด็กที่มีบุคลิกเงียบขรึม หรือมีปัญหาด้านพัฒนาการ เช่น ออทิสติก อาจมีความยากลำบากในการเข้าใจและตอบสนองต่ออารมณ์ของคนอื่น - การใช้หน้าจอหรือสื่อที่ไม่เหมาะสม:
การเสพสื่อที่ไม่ส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจ เช่น สื่อรุนแรง อาจทำให้เด็กไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
3. วิธีสังเกตว่าเด็กขาดความเห็นอกเห็นใจ
- ไม่สนใจเมื่อเห็นคนอื่นเดือดร้อน:
เด็กไม่แสดงความห่วงใยเมื่อคนอื่นเสียใจ หรือไม่ตอบสนองเมื่อมีเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ - พูดหรือแสดงพฤติกรรมที่ทำร้ายความรู้สึกผู้อื่น:
เช่น การล้อเลียนหรือการเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนอื่น - ไม่เข้าใจอารมณ์ที่ซับซ้อน:
เด็กไม่สามารถแยกแยะหรืออธิบายอารมณ์เช่น ความผิดหวัง หรือความกังวลของคนอื่นได้ - หลีกเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์เชิงอารมณ์:
เช่น การหลบตาหรือไม่สนใจเมื่อมีคนเล่าถึงปัญหาของตนเอง
4. วิธีสร้างความเห็นอกเห็นใจในเด็ก
4.1 สอนให้เด็กเข้าใจอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น
- ใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิด เช่น “เพื่อนรู้สึกยังไงตอนที่ล้มลง?”
- ใช้ภาพหรือการ์ดอารมณ์เพื่อช่วยเด็กแยกแยะอารมณ์ต่างๆ
4.2 แสดงตัวอย่างการแสดงความเห็นอกเห็นใจ
- ผู้ปกครองควรแสดงพฤติกรรมที่เห็นอกเห็นใจ เช่น การปลอบโยน หรือการช่วยเหลือผู้อื่น
- อธิบายเหตุผลให้เด็กเข้าใจ เช่น “แม่ช่วยคุณยายถือของเพราะคุณยายหนักมาก”
4.3 ฝึกการช่วยเหลือและแบ่งปัน
- ชวนเด็กทำกิจกรรมที่ต้องช่วยเหลือกัน เช่น การปลูกต้นไม้ หรือการทำอาหารร่วมกับคนในครอบครัว
- ส่งเสริมการแบ่งปัน เช่น การให้เด็กแบ่งของเล่นหรือขนมกับเพื่อน
4.4 สอนการแก้ไขปัญหาเชิงบวก
- ชวนเด็กพูดคุยเมื่อเกิดความขัดแย้ง เช่น “หนูรู้สึกยังไงตอนเพื่อนแย่งของเล่น? แล้วเพื่อนเขารู้สึกยังไง?”
4.5 ใช้สื่อสร้างสรรค์
- อ่านนิทานหรือดูหนังที่เน้นเรื่องการแสดงความห่วงใยและความเมตตาต่อผู้อื่น
- พูดคุยเกี่ยวกับตัวละครในเรื่อง เช่น “ตัวละครนี้รู้สึกยังไง? ถ้าเป็นหนูจะทำยังไง?”
4.6 ให้คำชมเชยเมื่อเด็กแสดงความเห็นอกเห็นใจ
- เช่น “แม่ภูมิใจที่หนูช่วยปลอบใจเพื่อนตอนเขาร้องไห้”
4.7 สร้างโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- จัดกิจกรรมกลุ่มที่เด็กต้องทำงานร่วมกับเพื่อน เช่น การเล่นเกมกลุ่ม หรือกิจกรรมอาสาสมัคร
5. ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความเห็นอกเห็นใจ
- เกมทายอารมณ์: ให้เด็กทายอารมณ์จากภาพสีหน้าหรือสถานการณ์จำลอง
- การเล่านิทานและถามตอบ: เลือกนิทานที่มีบทเรียนเรื่องการแสดงความเมตตา แล้วถามเด็กว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์นั้น
- กิจกรรมอาสาสมัคร: ชวนเด็กทำกิจกรรมช่วยเหลือ เช่น บริจาคของเล่น หรือช่วยงานในชุมชน
สรุป
ความเห็นอกเห็นใจเป็นทักษะที่สามารถสอนและพัฒนาได้ตั้งแต่วัยเด็ก หากเด็กไม่แสดงความรู้สึกต่อผู้อื่น อาจมาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่พัฒนาการตามวัยไปจนถึงการขาดประสบการณ์ในการเรียนรู้
ด้วยการสร้างโอกาสให้เด็กฝึกปฏิสัมพันธ์ การสอนผ่านตัวอย่าง และการสนับสนุนเชิงบวก เด็กจะสามารถพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสำเร็จในชีวิต